เลือกอ่านหัวข้อในบทความ
การฉีดสลายไขมัน L-B5 Complex ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากเยอรมันที่จะช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินของร่างกาย และถือเป็นอาหารเสริมที่จะช่วยดูแลสุขภาพได้อย่างครบวงจร โดยมีสรรพคุณโดดเด่นในเรื่องของการช่วยดึงไขมันมาใช้และช่วยเรื่องระบบเผาผลาญ ซึ่งการฉีดตัวยานี้จะช่วยสลายไขมันได้ทั่วร่างกายหรือฉีดเพื่อลดเฉพาะส่วนได้ ไม่ว่าจะเป็นการฉีดเพื่อลดไขมันบนใบหน้า ลดแก้ม ลดเหนียง และต้องการให้ใบหน้าดูเรียวสวยขึ้น รวมถึงการฉีดเพื่อลดต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง น่อง สะโพก เป็นต้น ทั้งฉีดแอลคาร์นิทีนยังช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรงมากขึ้น เหมาะกับผู้ที่รักสุขภาพและต้องการมีสัดส่วนที่ดูดี
แอลคาร์นิทีน หรือ L-Carnitine คือ สารธรรมชาติที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์เองได้ที่ตับและไต จาก กรดอะมิโน 2 ตัว ได้แก่ ไลซีน (lysine) และเมไทโอนีน (methionine) ซึ่งจะถูกนำไปเก็บไว้ในกล้ามเนื้อลาย (skeletal muscle) เช่น กล้ามเนื้อตามแขน ขา นอกจากนี้ยังถูกลำเลียงไปเก็บไว้ในหัวใจ สมอง และสเปิร์ม โดยสารแอลคาร์นิทีนจะทำหน้าที่ส่งกรดไขมัน (Fatty acid) เข้าสู่ไมโทคอนเดรียที่เป็นศูนย์กลางของการสร้างพลังงานของเซลล์ ที่จะเป็นการช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนกรดไขมันไปเป็นพลังงานนั่นเอง โดยพลังงานที่ได้มานั้นส่วนใหญ่ก็จะถูกนำไปใช้สำหรับการทำงานของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย นอกจากนี้แหล่งของคาร์นิทีนที่มีมากจะพบในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ปลา ผลิตภัณฑ์จากนม อะโวคาโด ถั่ว และเมล็ดพืช
l-b5 ผลิตภัณฑ์สลายไขมันส่วนเกินทั่วร่างกาย ที่จะมีส่วนผสมด้วยกัน คือ
ประโยชน์ของแอลคาร์นิทีน ไม่ได้ช่วยในเรื่องของการช่วยสลายไขมันและควบคุมน้ำหนักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่แอลคาร์นิทีนยังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ อีกมากมาย ได้แก่
สำหรับแอลคาร์นิทีน ตัวยาสามารถเป็นทั้งแบบรับประทานเป็นวิตามินหรืออาหารเสริม และเป็นแบบการฉีดเข้าสู่หลอดเลือด เพื่อเข้าไปช่วยสลายชั้นไขมัน เร่งการเผาผลาญ และลดไขมันส่วนเกินที่สะสมในร่างกาย โดยไขมันต่าง ๆ จะถูกขับผ่านทางปัสสาวะและเหงื่อ ซึ่งขั้นตอนการฉีดวิตามินสลายไขมัน มีดังต่อไปนี้
ไม่ควรฉีดกับสตรีมีครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อให้ร่างกายสามารถขับไขมันที่ถูกสลายออกมาทางเหงื่อและปัสสาวะ
ฉีดสลายไขมัน L B5 Complex เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดไขมันส่วนเกิน กระชับสัดส่วน ซึ่งการฉีดแอลคาร์นิทีนเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรทำควบคู่กับการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร หรือเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจะทำให้ผลลัพธ์หลังฉีดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้แอลคาร์นิทีน ยังช่วยทำให้คุณสามารถออกกำลังกายได้นานขึ้น และการที่ออกกำลังกายได้นานขึ้นก็จะทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานที่ทำให้ร่างกายลดไขมันและแคลอรี่ก็จะมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากท่านต้องการลดกระชับสัดส่วนไขมันส่วนเกินสามารถปรึกษากับคุณที่ All About Clinic ของเราได้
แอลคาร์นิทีน อันตรายไหม ?
แอลคาร์นิทีนแบบฉีดจะเป็นการกำจัดไขมันส่วนเกินโดยการฉีดตัวยาเข้าไปเพื่อสลายและลดปริมาณไขมันลงพร้อมขับออกมาทางของเหลว ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่มีความปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เนื่องจากเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการ ไม่ใช่สารแปลกปลอม ซึ่งตัวยาจะช่วยกระชับรูปร่างทำให้น้ำหนักลดลงได้รวดเร็ว ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยก็ต้องทำการรักษาที่อยู่ในการควบคุมดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือคลินิกและโรงพยาบาลที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
L-carnitine มีผลข้างเคียงหรือไม่ ?
แม้ว่าการฉีดแอล-คาร์นิทีนจะเป็นวัตกรรมที่ปลอดภัยสูง แต่ก็อาจจะเกิดผลข้างเคียงขึ้นกับบางราย เช่น มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีอาการแพ้ ไม่สบายท้อง ท้องร่วง บวมหรือฟกช้ำบริเวณที่ฉีด ผิวหนังในตำแหน่งที่ฉีดมีสีผิวที่เปลี่ยนแปลงไป และอาจจะทำให้ปัสสาวะ เหงื่อ และลมหายใจมีกลิ่นคาว
ฉีด L-B5 เห็นผลเมื่อไหร่ ?
การฉีดสลายไขมันอาจเห็นผล 10-20% ตั้งแต่ครั้งแรกที่รับบริการ โดยหลังทำเสร็จประมาณ 1 สัปดาห์จะรู้สึกได้ว่าไขมันนั้นเบาตัวลง และจะเห็นผลที่ชัดเจนมากขึ้นหากรับบริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถฉีดได้สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง โดยฉีดติดต่อกันประมาณ 4-8 สัปดาห์ แล้วเว้นระยะห่างออกไปตามความเหมาะสม ซึ่งจะขึ้นอยู่กับเป้าหมายในการรักษาของคนผู้รับบริการ และการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนี้หลังฉีดไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้น ท่านสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
ถ้าไม่ออกกำลังกาย ฉีดแล้วจะผอมไหม ?
สำหรับการฉีดสลายไขมันทั้งตัว จะช่วยเร่งการเผาผลาญ ช่วยให้ไขมันแตกตัว เปลี่ยนกรดไขมันไปเป็นพลังงาน ทำให้น้ำหนักลดลงได้จริง สัดส่วนกระชับขึ้นแม้จะไม่ได้ออกกำลังกาย เพราะกลไกของตัวยาจะช่วยทำให้การเผาผลาญไขมันทำได้รวดเร็ว ลดการสะสมของไขมันเก่า รูปร่างก็จะกระชับมากขึ้น ทั้งนี้หากต้องการให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีมากที่สุดก็ต้องมีการดูแลตัวเองร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับควบคุมปริมาณอาหารและเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ตัวยาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม