จะศัลยกรรมทั้งทีถ้าอยากให้หน้าเปลี่ยนแบบปัง ๆ แน่นอนว่าการเสริมจมูกก็ต้องติดลิสต์รายการเบอร์ต้น ๆ แน่นอน เพราะเป็นหัตถการที่เป็นการผ่าตัดเล็ก และปลอดภัย (เมื่อทำจมูกกับแพทย์และคลินิกที่ได้มาตรฐาน) โดยการเสริมจมูกนั้น เมื่อเลือกทรงให้เข้ากับใบหน้าก็จะทำให้ภาพรวมดูสวยเป็นธรรมชาติขึ้น แต่ถ้าอยากเปลี่ยนลุคใบหน้าให้สวยหวาน หรือสวยหน้าคม โฉบเฉี่ยวขึ้นก็สามารถเลือกทรงได้เช่นกัน
หลาย ๆ คนคงรู้จักว่าการเสริมจมูก (Rhinoplasty) นั้นคือการที่ผ่าตัดจมูกแล้วใส่ซิลิโคนเสริมเข้าไปเพื่อให้จมูกโด่งขึ้น แต่ถ้าลองศึกษาเพิ่มเติม ก็จะรู้ว่าการเสริมจมูกนั้นไม่จำเป็นต้องเสริมด้วยซิลิโคนอย่างเดียว ปัจจุบันมีทั้งเสริมด้วยกระดูกอ่อนซี่โครง หรือเสริมซิลิโคนร่วมกับใช้กระดูกอ่อนก้นกบ , กระดูกอ่อนหลังหู หรืออาจจะใช้เนื้อเยื่อเทียมที่คล้ายกับผิวเนื้อเยื่อมนุษย์ในการเสริมรองปลายจมูก เพื่อป้องกันการเกิดซิลิโคนทะลุได้ในภายหลัง
นอกจากนี้การเสริมจมูกยังมีเทคนิคการผ่าตัด 2 แบบด้วยกัน คือ ผ่าตัดเสริมจมูกแบบปิด (Close) และผ่าตัดเสริมจมูกแบบเปิด (Open) ซึ่งเราจะพาไปเจาะลึกกัน ว่าแต่ละเทคนิคนั้นมีข้อดีข้อเสียยังไง และแต่ละเทคนิคเหมาะกับรูปทรงจมูกแบบไหนบ้าง
การทำจมูกด้วยเทคนิคนี้จะเป็นการเปิดแผลภายในบริเวณจมูกเพียงฝั่งเดียว โดยแพทย์จะเปิดแผลบริเวณด้านในปีกจมูกฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ก่อนจะนำซิลิโคนหรือเนื้อเยื่อส่วนอื่น ๆ เสริมเข้าไปตั้งแต่สันจมูกถึงปลายจมูก การศัลยกรรมจมูกแบบปิดเหมาะกับผู้ที่มีเนื้อจมูกไม่บางจนเกินไป ผู้ที่มีฐานจมูกสวยสมดุลอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการเพิ่มความโด่งของสันจมูกที่มากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มักนิยมใช้ซิลิโคนในการทำจมูก แต่ก็มีบางกรณีที่อาจจะต้องใช้เนื้อเยื่อบางส่วนเข้ามาเสริมเพื่อรองปลายจมูกด้วย เช่น กระดูกหลังหู เนื้อเยื่อก้นกบ หรือ เนื้อเยื่อเทียม เป็นต้น
การทำจมูกแบบเปิดหรือที่หลาย ๆ คนเรียกกันว่าทำจมูกโอเพ่น เป็นการผ่าตัดที่แพทย์สามารถมองเห็นโครงสร้างข้างในจมูกได้ทั้งหมดเพราะจะทำการผ่าตัดเปิดแผลบริเวณฐานจมูก และเลาะเนื้อเยื่อขึ้นมาถึงบริเวณเหนือกระดูกอ่อนปลายจมูก ก่อนจะแยกเนื้อจมูกจากตรงกลางออกจากกัน ทำให้แพทย์สามารถเห็นโครงสร้างภายในของจมูกได้ชัดเจน ไม่ว่าจะจมูกเบี้ยว ฮัมพ์สูง หรือพังผืดหนา ก็สามารถแก้ไขได้ง่ายกว่าเทคนิคอื่น ๆ
เทคนิคนี้จะเรียกว่าเป็นเทคนิค Close ก็ไม่ผิด เพราะมีการเปิดแผลด้านในรูจมูก แต่ต่างกันที่เทคนิค Close จะเปิดแผลเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง แต่เทคนิคเซมิโอเพ่นจะเปิดแผลด้านในจมูกทั้งซ้ายขวา ข้อดีคือมองเห็นโครงสร้างด้านในได้มากขึ้น (แต่ก็ไม่เท่าเทคนิคโอเพ่น) และทำให้ขั้นตอนการเสริมและจัดวางซิลิโคนจมูกนั้นเช็คสมดุลซ้ายขวาได้ง่ายกว่าเทคนิค Close ลดโอกาสจมูกเบี้ยวหลังเสริมได้ดี
ซิลิโคนจมูกมี 2 ชนิดหลัก ๆ ที่นิยมใช้ในการเสริมจมูก คือ ซิลิโคนสำเร็จรูป และซิลิโคนแบบแท่ง โดยแบบสำเร็จจะมีการเหลาขึ้นรูปมาเรียบร้อยแล้ว อย่างที่เคยได้ยินชื่อกันว่า ซิลิโคนทรงแมนทิส , ซิลิโคนทรงบาร์บี้ หรืออื่น ๆ
ส่วนซิลิโคนแบบแท่ง ลักษณะจะเป็นซิลิโคนก้อนรูปทรงสี่เหลี่ยมที่ต้องนำมาเหลาขึ้นทรงเอง ซึ่งการเสริมด้วยซิลิโคนแท่งแบบเหลาใหม่ ข้อดีคือสามารถขึ้นรูปทรงใหม่ที่เข้ากับโครงสร้างจมูกได้ดี แต่แพทย์ก็ต้องชำนาญและมีประสบการณ์ เพื่อเหลาซิลิโคนออกมาได้สวยตรงตามเรฟที่ต้องการค่ะ
ส่วนวัสดุซิลิโคนนั้น จะเป็นเกรดทางการแพทย์ แต่การผลิตหรือนำเข้านั้นจะนิยมจากเกาหลี หรืออเมริกาเป็นส่วนใหญ่ แต่เนื้อสัมผัสหรือความยืดหยุ่นแต่ละยี่ห้อจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความชอบหรืองบประมาณที่กำหนดค่ะ
การใช้กระดูกอ่อนแทนซิลิโคนเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่กระดูกอ่อนหลังหู , กระดูกอ่อนก้นกบ จนล่าสุดก็ใช้เป็นกระดูกอ่อนซี่โครง ข้อดีคือการเสริมด้วยเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนของตัวเองนั้นค่อนข้างปลอดภัย เพราะไม่ใช่วัสดุสังเคราะห์ แต่ข้อเสียคือจะต้องทำการผ่าตัด 2 จุดด้วยกัน จึงต้องดูแลแผลหลังเสริมทั้งจมูกและบริเวณที่ผ่าตัดนำเอากระดูกอ่อนมาใช้
โครงสร้างใบหน้าแต่ละคนนั้นมีความต่างกัน ดังนั้นหาเรฟ ฯ มาสวยตรงใจ แต่ดันไม่เข้ากับใบหน้า สุดท้ายเสริมออกมาก็อาจจะไม่ถูกใจแบบที่คิด ซึ่งคำแนะนำในการหาเรฟนั้นนอกจากจะเลือกจากดาราที่ชอบแล้ว อีกหนึ่งอย่างที่คนมักพลาดกัน คือ การหาเคสที่มีปัญหาจมูกก่อนเสริมใกล้เคียงกับเรา เช่น เรามีปัญหาปีกบาน ฮัมพ์สูง ก็ให้หาเรฟ ฯ ที่ใกล้เคียงกันดูก่อน จะได้มีภาพชัดขึ้น ว่าถ้าเสริมทรงแบบนี้ หน้าเราจะออกมาประมาณไหน
หรือใครที่ได้คลินิกในใจแล้ว ลองทักขอรีวิวเคสที่ใกล้เคียงกัน เพื่อจะได้เห็นภาพรีวิวแบบชัด ๆ ว่าถ้าเสริมออกมาแล้วทรงจมูกเราจะเป็นยังไงนั่นเองค่ะ
เคยไหมคะ สอบถามข้อมูลทำจมูกที่ไหน ๆ ก็บอกว่าเราต้องเสริมโอเพ่นเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้วบางทีโครงสร้างจมูกเราอาจจะไม่ต้องทำเทคนิคโอเพ่นเสมอไป เช่น การเสริมครั้งแรก หรือการแก้จากเคสเสริมจมูกแบบปิดมาก่อน ทั้งนี้แนะนำให้ลองปรึกษาคลินิกที่มีแพทย์ประจำด้านศัลยกรรม หรือแพทย์เฉพาะทาง เพราะการเสริมด้วยเทคนิคโอเพ่นนั้น หากมีปัญหาต้องการแก้หรืออยากเปลี่ยนทรงจมูกก็จะต้องแก้ด้วยเทคนิคโอเพ่นเท่านั้น ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายที่สูงจนเกินจำเป็นได้ ดังนั้นการหา Second Opinion จึงจำเป็นมาก สำหรับคนที่อยากเสริมจมูกจริง ๆ
หลังเสริมจมูกในช่วง 1-2 อาทิตย์แรก จมูกจะมีอาการบวมอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ยุบบวมและซิลิโคนจะเริ่มรัดแกนจมูกเต็มที่ที่ 6 เดือน – 1 ปี ซึ่งหลังจากซิลิโคนรัดแกนแล้ว ทรงจะไม่ค่อยเปลี่ยนมากนัก ดังนั้นแนะนำว่าการเสริมจมูกนั้นต้องใจเย็นและรอผลลัพธ์อย่างน้อย ๆ 6 เดือน – 1 ปี เพราะนอกจากจะได้เห็นทรงจมูกชัด ๆ แล้ว ยังได้พักก่อนแก้จมูกอีกด้วย (ในกรณีที่จมูกมีปัญหาหรือได้ทรงจมูกที่ไม่ถูกใจ)
สำหรับคนที่มีปัญหาจมูกกว้าง หรือจมูกใหญ่ จริง ๆ แล้วปัญหาอาจจะมาจากการที่ปีกจมูกห้อย หรือปีกจมูกตก โดยสังเกตจากระยะฐานหรือรูจมูกหากมีขนาดเล็กหรือสมมาตรอยู่แล้วการตัดปีกจะทำให้รูจมูกแคบลงอีก ดังนั้นวิธีแก้ไขคือจะต้องเสริมแบบยืดปลายจมูกให้ยกขึ้น ทั้งนี้ แนะนำปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินรูปทรงจมูกก่อน เพื่อจะได้วางแผนและออกแบบทรงจมูกก่อนผ่าตัด
การทำศัลยกรรมนั้นมีข้อจำกัดมากกว่าที่คิด ทั้งก่อนและหลังศัลยกรรม รวมถึงการดูแลระยะยาวที่อาจจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เช่น
ราคาในการเสริมจมูกจะแตกต่างกันไปตามชนิดของซิลิโคนที่เลือก (โปรโมชั่นมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอด คลิ๊กลิงค์นี้เพื่อดู โปรโมชั่น All About Clinic ) นอกจากนี้เทคนิคที่เลือกใช้ในการศัลยกรรมจมูกก็จะราคาต่างกัน โดยราคาเสริมแบบปิด (เทคนิค Close) จะราคาต่ำสุด ถัดมาเป็นเทคนิค Semi Open ที่ราคาสูงขึ้นมาหน่อย และเทคนิค Open ที่ราคาจะสูงที่สุด เนื่องจากต้องใช้ความชำนาญของแพทย์ และในการผ่าตัดจะเป็นการผ่าแบบใช้ยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์ค่ะ
ซิลิโคนจมูกไม่มีวันหมดอายุ สามารถอยู่ในร่างกายได้ตลอดชีวิต ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ ยกเว้นกรณีที่มีปัญหาหรืออยากได้ทรงจมูกใหม่ สามารถทำศัลยกรรมแก้จมูกใหม่ได้
การผ่าตัดศัลยกรรมจมูกจะมีการใช้ยานอนหลับหรือการฉีดยาชา ซึ่งระหว่างที่ผ่าตัดนั้นคนไข้จะมีรู้สึกเจ็บแน่นอนค่ะ แต่หลังจากที่เสริมเสร็จกลับไปพักฟื้นอาจจะมีอาการช้ำ ระบม รู้สึกตึง ๆ บริเวณจมูก ซึ่งอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น
ถ้าฟันมีปัญหาค่อนข้างเยอะ จนถึงขนาดต้องผ่าตัดกราม ขอแนะนำว่าให้จัดฟันก่อนทำการศัลยกรรมจมูก เนื่องจากในการจัดฟันถ้าต้องทำการแก้ไขเยอะจะเป็นผลกับรูปหน้า ริมฝีปาก และคาง แต่ถ้าฟันไม่ได้มีปัญหาเยอะ ไม่จำเป็นต้องถอนหลายซี่ หรือดึงน้อย ก็สามารถศัลยกรรมจมูกก่อนได้
งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ของหมักดอง อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ และอาหารทะเล เพื่อลดอาการบวม เขียวช้ำ ไม่ทำให้แผลอักเสบหรือหายช้า แต่หลังจากที่แผลหายดีแล้ว สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติค่ะ
อายุที่เหมาะสมสำหรับการศัลยกรรมจมูก คือ อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่โครงสร้างกระดูกและรูปหน้าเติบโตคงที่แล้ว
หลังเสริมจมูกจะใช้เวลาพักฟื้นให้รอยช้ำต่าง ๆ จางหายไป ประมาณ 7-14 วัน หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ดีขึ้น โดยจมูกจะเริ่มเข้าที่ ดังนี้
ทั้งนี้ จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน และการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
การรองปลายจะขึ้นอยู่กับพื้นฐานโครงสร้างจมูกเดิมของคนไข้ และอยู่ที่การประเมินของแพทย์ว่าควรรองปลาย หรือเสริมด้วยเทคนิคอะไร เพื่อลดความเสี่ยงจมูกทะลุในอนาคตค่ะ
หากเป็นสิวที่บริเวณจมูกหลังจากเสริมมาแล้ว ไม่ควรที่จะบีบ กดสิว หรือฉีดสิวเด็ดขาด เนื่องจากจะทำให้จมูกบาง หรืออาจจะทำให้เนื้อเยื่อเกิดการอักเสบได้ ซึ่งขอแนะนำว่าให้ใช้ยาแต้มสิว หรือทานยารักษาสิวตามที่แพทย์สั่ง แต่หากยังไม่ดีขึ้น สิวไม่หายสักที ควรรีบกลับไปพบศัลยแพทย์ทันที