การทำ PRP เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการฟื้นฟู บำรุง ซ่อมแซมเซลล์ผิว ด้วยเกล็ดเลือดเข้มข้น ช่วยแก้ไขปัญหาเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ ผิวอ่อนแอ ขาดความชุ่มชื้น หรือช่วยแก้ปัญหาด้านผมร่วง บาง รากผมเสื่อมสภาพ โดยนำเอาเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP) ที่ได้ฉีดเข้าไปยังบริเวณที่มีปัญหาเช่นบริเวณหนังศีรษะ หรือต้องการบำรุงผิวหน้า ใต้ตาคล้ำ ก็ฉีดเข้าบริเวณใบหน้าหรือใต้ตาได้
ตัว PRP จะมีคุณสมบัติช่วยฟื้นบำรุงทั้งเส้นผมและผิวพรรณ โดยจะช่วยเสริมสร้างการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ ช่วยลดการขาดหลุดร่วงของเส้นผม ทำให้ผมหนาแข็งแรง และยังช่วยฟื้นฟูสภาพผิวแห้งให้กลับมาชุ่มชื้นมีสุขภาพดี ข้อดีคือ PRP เป็นเกล็ดเลือดที่สกัดจากเลือดในร่างกายของตัวเอง จึงแทบไม่มีโอกาสแพ้ จัดได้ว่าเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง
การทำ Platelet Rich Plasma หรือ PRP คือ กระบวนการนำเกล็ดเลือดมาปั่นแยกด้วยเครื่องเหวี่ยงสาร จนเลือดแยกชั้นออกเป็นพลาสมา , เซลล์เม็ดเลือดขาว, เกล็ดเลือด และเซลล์เม็ดเลือดแดง โดยเกล็ดเลือดก็จะแบ่งเป็นเกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet Rich Plasma) และเกล็ดเลือดไม่เข้มข้น (Platelet Poor Plasma) ซึ่งเกล็ดเลือดเข้มข้นนี้จะประกอบไปด้วย Growth Factor ที่ช่วยในการฟื้นฟูซ่อมแซมผิว ซึ่งเกล็ดเลือดในชั้นนี้จะสกัดออกมาได้เพียงประมาณ 1% ของน้ำเลือดทั้งหมด
หลังจากนำเลือดมาสกัดเรียบร้อยแล้ว เราจะนำมาผสมกับตัวยาที่ช่วยรักษาปัญหาโดยตรงแต่ละด้าน หากเคสไหนที่มีปัญหาค่อนข้างมากเราก็จะนำเซลล์รากผมมาสกัดเพิ่ม ขั้นตอนต่อไปคือการนำไปฉีดที่บริเวณผิวพรรณหรือหนังศีรษะ โดยเกล็ดเลือดที่ฉีดเข้าไปจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ ช่วยฟื้นฟูผมเสีย ซ่อมแซมผิว ด้วยนวัตกรรม PRP ที่ช่วยบำรุงเส้นผมโดยวิธีที่มีความปลอดภัยสูง เพราะเลือดที่นำมาปั่นแยกแล้วฉีดกลับเข้าไปก็คือเลือดของผู้ที่จะเข้ารับการฉีดนั่นเอง
สำหรับการทำ PRP ที่เป็นสารที่อุดมไปด้วยโปรตีนที่ช่วยในการฟื้นฟูซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังได้ดี และมีจุดเด่นในเรื่องของความปลอดภัยสูง เนื่องจากเป็นการใช้สารที่มาจากตัวเราเอง จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาการแพ้ รวมถึงสามารถช่วยรักษาได้หลากหลายด้าน ทั้งด้านความงามและด้านสุขภาพร่างกาย โดยมีดังนี้
การฉีด PRP หรือเกล็ดเลือดเข้มข้นจะช่วยซ่อมแซม กระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจน ลดการอักเสบ กระตุ้นการหายของแผล และช่วยสร้างเสริมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้กลับมาแข็งแรง รวมทั้งสร้างเสริมส่วนต่าง ๆ บนใบหน้าให้ดูดีขึ้นอีกครั้ง ซึ่งจะเหมาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องความยืดหยุ่นของผิว มีริ้วรอยต่าง ๆ ผิวหย่อนคล้อย รอยดำจากสิว ฝ้า กระ รอยคล้ำใต้ตา ร่องแก้ม ผิวหน้าแห้งกร้าน และมีรอยแผลเป็น โดยหลังฉีดผิวหน้าจะเริ่มใสแบบชัดเจนในช่วง 3 เดือน และจะเริ่มกระชับ ดูสุขภาพดียิ่งขึ้นเมื่อมีการทำ PRP อย่างต่อเนื่องค่ะ ทั้งนี้ เมื่อฉีด PRP แล้วจะช่วยให้ผลลัพธ์ดีขึ้นได้ เช่น
เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการรักษาปัญหาเส้นผมและหนังศีรษะ โดยการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นเข้าไปที่หนังศีรษะในส่วนที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง ซึ่งสารใน PRP จะช่วยเข้าไปกระตุ้นการทำงานและบำรุงเซลล์รากผมให้แข็งแรง ส่งผลให้เส้นผมที่งอกขึ้นมาใหม่มีขนาดเส้นใหญ่และหนาขึ้น และช่วยในเรื่องของการชะลอการหลุดร่วงของเส้นผม รวมทั้งยังช่วยกระตุ้นเซลล์รากผมที่หยุดทำงานไปแล้ว ให้กลับมาทำงานและงอกผมขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง โดยหลังจากการรักษาอาการผมร่วงและผมบางด้วยการฉีด PRP ผม จะได้ผลลัพธ์เหล่านี้ ได้แก่
ทั้งนี้หากต้องการให้ผลลัพธ์การทำ PRP ผม สามารถลดผมร่วง บำรุงเส้นผมได้อย่างถาวร แนะนำให้ทำ PRP ผม อย่างต่อเนื่อง เพื่อยืดอายุไขของเซลล์รากผม โดยช่วงแรก ๆ แนะนำให้ทำ PRP ร่วมกับการทานวิตามิน หรือรับการรักษาควบคู่ไปกับโปรแกรม Anti Hair Loss ที่ทางคลินิกได้ออกแบบให้สามารถแก้ไขปัญหาผมขาดหลุดร่วงได้เฉพาะบุคคล
อ่านบทความเพิ่มเติม : ทำ PRP ผม คืออะไร ? หยุดผมร่วงได้จริงไหมเปิด 7 ข้อควรรู้ก่อนทำ PRP
นอกจากจะช่วยรักษาในเรื่องของความงามแล้ว ยังช่วยรักษาในด้านวงการแพทย์ ทั้งในกลุ่มของวิทยาศาสตร์การกีฬา หรือทางแพทย์ออร์โธปิดิกส์ด้วยเช่นกัน โดยจะใช้สำหรับการรักษาความเสื่อมและซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่มีการฉีกขาด บริเวณข้อต่อ เนื้อเยื่ออ่อน เส้นเอ็น และกระดูกต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งจะทำการฉีดรอบ ๆ เส้นเอ็นหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เพื่อกระตุ้นให้แผลหายเร็ว ลดการอักเสบของผิวข้อเข่าหรือข้อเข่าเสื่อม ซ่อมแซมเซลล์ และฟื้นฟูสภาพให้กลับไปใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งอาการบาดเจ็บที่มักจะรักษาด้วยวิธี PRP ได้แก่
อ่านบทความเพิ่มเติม : รักษาโรคกระดูก เอ็น และกล้ามเนื้อด้วยการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น PRP (Platelet Rich Plasma)
ความแตกต่างของการฉีด PRP ผิวหน้า กับหัตถการอื่นนั้น PRP จะเป็นการรักษาด้วยเกล็ดเลือดของตัวเอง ที่จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและไฮยาลูรอนที่ร่างกายสร้างขึ้นเอง ทำให้เกิดการฟื้นฟูผิวหน้าได้ทั้งหมด ซึ่งจะแตกต่างกับหัตถการอื่นอย่างการฉีดฟิลเลอร์ ที่จะเป็นการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid หรือ HA เพื่อช่วยเติมเต็มหรือเสริมชั้นในผิวหนังและใต้ผิวหนัง ทำให้ริ้วรอยร่องลึกต่าง ๆ ดูจางลง และผิวตื้นขึ้น โดยการฉีดฟิลเลอร์จะเป็นการเต็มเฉพาะจุด และการฉีด PRP ยังสามารถช่วยเติมเต็มผิวในส่วนที่สารเติมเต็มไฮยาลูโรนิคในฟิลเลอร์ไม่สามารถทำได้ด้วย
นอกจากนี้ การรักษาด้วย PRP ยังสามารถทำควบคู่ไปกับหัตถการบำรุงอื่น ๆ ได้ โดยจะเป็นการช่วยเติมเต็มให้กันและกัน ทำให้ผิวหน้าดูสุขภาพดี ผิวเรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้นได้นั่นเอง
อย่างที่ได้ทราบกันไปแล้วว่า PRP เป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเป็นการฉีดเกล็ดเลือดที่สกัดมาจากเลือดของคนไข้เอง ไม่ใช่สารสังเคราะห์ จึงแทบจะไม่ทำให้เกิดอาการหรือผลข้างเคียงต่าง ๆ หรือเกิดขึ้นได้น้อยมาก ซึ่งบางรายอาจมีผลข้างเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด คือ มีอาการปวดเล็กน้อยระหว่างที่ฉีด แต่อาการนี้จะหายไปได้เองประมาณ 10-15 นาที หรืออาจมีอาการบวม หรือมีรอยฟกช้ำเล็กน้อย ซึ่งก็จะสามารถหายไปได้เองภายในระยะเวลา 2-3 วันเช่นกัน
สำหรับผลลัพธ์หลังการรักษา PRP ผิวหน้าและผม จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงประมาณ 2-3 สัปดาห์ และจะเห็นผลอย่างชัดเจนมากขึ้นภายในระยะเวลา 3 เดือน โดยผิวจะดูสุขภาพดีและมีความชุ่มชื้นมากขึ้น ส่วนของเส้นผมจะร่วงน้อยและมีเส้นผมเกิดใหม่ยิ่งขึ้น ซึ่งควรทำซ้ำ 2-3 ครั้งขึ้นไป โดยเว้นระยะห่าง 2-4 สัปดาห์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้หากทำการรักษาอย่างต่อเนื่องผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่ได้นาน 1-2 ปี แต่ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคลด้วยนั่นเอง และสำหรับการการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ควรฉีดประมาณ 2-3 ครั้งต่อเส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บ โดยเว้นระยะห่างครั้งละ 7-10 วัน ทั้งนี้จำนวนครั้งในการฉีดก็จะขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และจะเห็นผลการรักษาได้ตั้งแต่ 4-6 สัปดาห์เป็นต้นไป
อ่านบทความเพิ่มเติม : หลังทำ PRP ต้องดูแลตัวเองอย่างไร พร้อมข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีด
การทำ PRP นั้น เป็นนวัตกรรมการดูแลตัวเองในอีกระดับ ไม่ว่าท่านจะมีปัญหาเรื่องเส้นผมที่ไม่แข็งแรง หรือผิวพรรณไม่สดใส การทำ PRP ก็ตอบโจทย์มีความปลอดภัยสูง และช่วยให้ท่านกลับมามีผิวพรรณที่เปล่งปลั่งดูสุขภาพดี เส้นผมแข็งแรง ลดปัญหาผมร่วงผมบาง แต่สำหรับท่านใดที่พบปัญหาผมบาง หัวล้านจากกรรมพันธุ์นั้น อาจจะต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึงแนวทางแก้ปัญหาด้วยหัตถการอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยข้อดีของการทำ PRP นั้นมีดังนี้
นอกจากนี้การทำ PRP ส่งเสริมการเจริญเติบโตแถมยังช่วยฟื้นฟูเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายที่มีอาการบาดเจ็บได้ พร้อมทั้งช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังมีการใช้ในกลุ่มนักกีฬา โดยการฉีด PRP จะช่วยลดอาการบาดเจ็บ ฟื้นฟูข้อ เอ็น และกล้ามเนื้อ
สำหรับโปรแกรม PRP คือ โปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อให้เข้ากับสภาพปัญหาผิวและเส้นผมที่แตกต่างกัน จึงเหมาะกับทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็น
สำหรับราคาในการทำ PRP ผิวหน้าและทำ PRP ผม จะแตกต่างกัน โดย PRP หน้าใส ราคาเริ่มต้นที่ 3,500 บาท ส่วน PRP ผมจะเป็นโปรแกรม Premium PRP Plus ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูง และรวดเร็ว เห็นผลชัดเจน ราคาเริ่มต้นที่ 5,900 ท่านสามารถเลือกทำได้แบบเป็นครั้งหรือเป็นแพคเกจโปรโมชั่นปัจจุบันก็ได้ค่ะ โดยสามารถติดตามโปรโมชั่นปัจจุบันได้ที่ช่องทาง โปรโมชั่น All About Clinic หรือช่องทาง Line Official @aacthailand ได้เลย
อ่านบทความเพิ่มเติม : prp ราคาเท่าไหร่ โปรแกรมฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นของตัวเองช่วยเรื่องอะไรบ้าง
โปรแกรมการฟื้นบำรุงด้วย PRP คือหัตถการที่ควรทำหลายครั้งติดต่อกัน เพื่อผลลัพธ์ที่จะมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยส่วนมากแล้วทางคลินิกมักจะจัดโปรโมชั่นเป็นราคาคอร์สระยะยาว อยู่ที่ประมาณ 20,000 – 50,000 บาท ทุกขั้นตอนมีการประเมินและดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ให้คุณมั่นใจได้ถึงความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่จะสร้างความพึงพอใจอย่างแน่นอน
การทำ PRP คือการฉีดเกล็ดเลือดเข้าไปในร่างกายของคนไข้ แต่ต้องบอกว่าขั้นตอนการทำนั้นไม่เจ็บเลย เพราะแพทย์จะมีการประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการปวดขณะที่ฉีด ทั้งยังเป็นหัตถการที่ใช้เวลาไม่นาน ไม่มีการผ่าตัดหรือเปิดแผลใด ๆ เป็นการทำโปรแกรมบำรุงเส้นผมและผิวพรรณที่สะดวกและเห็นผลลัพธ์ได้ดีมาก ๆ
การทำ PRP ไม่ได้เห็นผลชัดเจนตั้งแต่ทำครั้งแรก แต่ควรทำเป็นประจำเพื่อที่ร่างกายจะได้รับการบำรุงอย่างสม่ำเสมอ โดยจะเริ่มเห็นผลถึงความเปลี่ยนแปลงเมื่อทำไปแล้วประมาณ 3-6 เดือน หากต้องการให้เห็นผลในระยะยาวควรทำต่อกันอีกเรื่อย ๆ
การทำ PRP เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูงมาก แทบไม่เป็นอันตรายเลยเพราะเกล็ดเลือดที่นำมาฉีดเข้าร่างกายนั้น ก็เป็นเลือดจากร่างกายของคนไข้เอง จึงมั่นใจได้เลยถึงเรื่องความปลอดภัย และโอกาสเกิดการแพ้หรือผลข้างเคียงอื่น ๆ ก็น้อยมากเช่นกัน
หลังจากทำ PRP ครบตามระยะเวลาที่กำหนดแล้วก็จะเห็นผลระยะยาว โดยจะอยู่ได้ 1-3 ปีตามอายุขัยของเส้นผม จะไม่เห็นผลถาวร เนื่องจากเซลล์รากผมดั้งเดิมไม่ใช่รากผมถาวร มีโอกาสเสื่อมสภาพได้ แต่สามารถฟื้นฟูได้ด้วยการทำ PRP อีกครั้งได้
การทำ PRP จะช่วยบำรุงเซลล์รากผมให้แข็งแรง ชะลออาการผมร่วง กระตุ้นการเกิดใหม่ของเส้นผม และช่วยฟื้นฟูผมให้กลับมาหนาโดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดย้ายรากผม นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของผิวพรรณ เพิ่มคอลลาเจนให้กับผิว แก้ปัญหาผิวแห้ง รอยเหี่ยวย่น และรอยแผลเป็นได้
สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวสามารถทำได้ ยกเว้นผู้ที่เป็นโรคเกล็ดเลือดจาง หรือ ITP (โรคเกล็ดเลือดจางเป็นคนละโรคกับโรคเลือดจาง) โดยโรคเลือดจางสามารถทำได้ เนื่องจากเป็นโรคที่มีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ แต่ไม่ใช่เกล็ดเลือด
ในส่วนของโรคมะเร็งก็สามารถทำได้เช่นกันค่ะ แต่มีข้อจำกัดคือ เนื่องจากคนไข้ประสบปัญหาผมร่วงจากการทำคีโม ซึ่งเป็นภาวะที่เรียกว่า Anagen effluvium คุณหมอจึงแนะนำให้ท่านทำคีโมให้ครบก่อน แล้วค่อยมากระตุ้น PRP จะเห็นผลได้ดีกว่าในระยะยาว
ไม่สามารถใช้เลือดหรือเกล็ดเลือดของผู้อื่นแทนได้ ต้องใช้เลือดของตัวเองเท่านั้น เพื่อป้องกันความสะอาดและโรคติดต่อต่าง ๆ ที่สามารถติดต่อผ่านทางกระแสเลือดได้ รวมทั้งการเข้ากันของกรุ๊ปเลือดด้วยค่ะ