ฟิลเลอร์

ทำความรู้จักกับ ฟิลเลอร์ สารเติมเต็มร่องลึก ยี่ห้อไหนเหมาะฉีดจุดไหนบ้าง

          การฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นหนึ่งในการปรับรูปหน้าสุดฮิตของหนุ่มๆ สาวๆ ในยุคปัจจุบัน ฟิลเลอร์คือสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบของกรดไฮยาลูโรนิก แอซิด มีคุณสมบัติยืดหยุ่นได้ สามารถปั้นเป็นทรงได้ตามต้องการ ทางการแพทย์นิยมนำมาใช้เพื่อเติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้น ช่วยให้ริ้วรอยบนใบหน้าจางลง นอกจากนี้ยังนำมาฉีดเฉพาะจุดเพื่อปรับรูปหน้าได้โดยไม่ต้องทำการผ่าตัด เช่น ฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์คาง ฟิลเลอร์จมูก

          ฟิลเลอร์ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะด้วยราคาที่เข้าถึงง่าย ไม่ต้องมีการผ่าตัดหรือพักฟื้น อีกทั้งยังสามารถมาฉีดเพิ่มเรื่อย ๆ ได้อีกด้วย ฟิลเลอร์ได้มาตรฐานที่คลินิกเลือกใช้จะไม่แสบ ไม่ไหล ไม่เป็นก้อน หากฉีดไปแล้วต้องการเปลี่ยนรูปทรง หรือต้องการเปลี่ยนเป็นทำหัตถการที่ต้องผ่าตัด ก็สามารถมาฉีดสลายฟิลเลอร์ได้เช่นกัน

เลือกอ่านหัวข้อในบทความ

ฟิลเลอร์มีกี่ประเภท ?

หลัก ๆ แล้วสามารถแบ่งฟิลเลอร์ออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน ได้แก่

1. ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว (Temporary filler)

เป็นฟิลเลอร์ประเภทชั่วคราวที่สามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติ มีความปลอดภัยสูง และมีโอกาสแพ้ได้น้อย หลังฉีดจะอยู่ได้นานประมาณ 6-24 เดือน ซึ่งระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อด้วย โดยตัวที่นิยมฉีดกันในปัจจุบัน และเป็นชนิดเดียวที่ผ่านสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.ไทย คือ ฟิลเลอร์กลุ่มไฮยารูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) หรือ HA นั่นเอง

2. ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร (Semi Permanent filler)

ประเภทกึ่งถาวร จะเป็นฟิลเลอร์ที่เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้น เพื่อให้เข้ากับเนื้อเยื่อในชั้นผิว ซึ่งจะไม่สามารถลายได้หมด 100% จึงมีความปลอดภัยน้อยกว่าแบบชั่วคราว หลังฉีดจะอยู่ได้นานประมาณ 2-5 ปี ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการดูแลผิวหลังฉีดของแต่ละบุคคลด้วย ตัวอย่างฟิลเลอร์แบบชั่วคราว เช่น แคลเซียมฟิลเลอร์ ที่มีส่วนผสมของแคลเซียม ไฮดรอกซิลอะพาไทต์ (Hydroxyapatite) สาร PLLA (Poly-L-lactic acid) และสาร Polyalkylimide ทั้งนี้ฟิลเลอร์ประเภทนี้สามารถใช้ได้ในต่างประเทศ แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในประเทศไทย

3. ฟิลเลอร์แบบถาวร (Permanent filler)

ฟิลเลอร์ประเภทนี้จะไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ทำให้ตกค้างอยู่ในชั้นผิว เมื่อฉีดแล้วจะเห็นผลลัพธ์ถาวร และอาจมีผลข้างเคียงระยะยาว เช่น ฟิลเลอร์ไหล ฟิลเลอร์ย้อยผิดรูป ซึ่งหากเกิดปัญหาหรืออยากเอาฟิลเลอร์ออก จะต้องให้แพทย์ผ่าตัดหรือขูดออกเท่านั้น ไม่สามารถฉีกสลายได้ นอกจากนี้ยังเป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่านอย. และจัดเป็นฟิลเลอร์ประเภทอันตราย โดยสารเติมเต็มในกลุ่มฟิลเลอร์ประเภทถาวร เช่น ซิลิโคนเหลว หรือพาราฟิน ดังนั้นแพทย์จึงไม่แนะนำให้ใช้ฟิลเลอร์ประเภทนี้

ส่วนประกอบในฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง ?

สำหรับสารเติมเต็มในฟิลเลอร์ หรือส่วนประกอบในฟิลเลอร์ที่ควรรู้ มีด้วยกันดังนี้

1. Hyaluronic Acid (HA)

สารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) จัดอยู่ในกลุ่มสารฟิลเลอร์แบบชั่วคราว ที่สามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติ โดยสารชนิดนี้เป็นสารสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อเลียนแบบสารไฮยาลูโรนิคแอซิดที่มีในร่างกายตามธรรมชาติ ซึ่งสารนี้ก็จะเริ่มเสื่อมสลายไปเมื่ออายุมากขึ้น ทางการแพทย์จึงได้สังเคราะห์สารนี้ขึ้นมาเพื่อเติมเต็มหรือเสริมชั้นในผิวหนังและใต้ผิวหนัง ที่จะช่วยลดปัญหาผิว ริ้วรอยร่องลึกตามจุดต่าง ๆ บนใบหน้าแบบชั่วคราว และยังช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจน ให้ผิวกลับมาดูอ่อนเยาว์ กระชับ และเปล่งปลั่ง โดยที่สารเติมเต็มชนิดนี้จะสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-24 เดือน นอกจากนี้ยังเป็นสารประกอบฟิลเลอร์ที่มีความปลอดภัยมากที่สุด เนื่องจากเป็นชนิดที่ได้รับการรองรับจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย. ไทย) ชนิดเดียวเท่านั้น

2. Poly-L-lactic acid (PLLA)

กรดโพลี แอล แลคติก แอซิด (Poly L lactic acid หรือ PLLA) จัดอยู่ในกลุ่มสารฟิลเลอร์แบบแบบกึ่งถาวร ที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ แต่จะไม่สามารถสลายได้หมด 100% โดยสารเติมเต็ม PLLA นี้เป็นสารอุ้มน้ำที่สามารถเข้ากันได้กับเนื้อเยื่อในร่างกาย ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง และช่วยเติมเต็มร่องลึกและริ้วรอยดี ซึ่งจะนิยมใช้สารเติมเต็มชนิดนี้กันอย่างมากในยุโรปและอเมริกา และในทางการแพทย์มักจะนำมาใช้เป็นวัสดุเย็บแผลที่ละลายได้หรือใช้ดามกระดูก เช่น ไหมละลาย และตะปูเกลียวยึดกระดูก อีกทั้งยังให้ผลลัพธ์การคงตัวที่ยาวนานมากถึง 2-5 ปี

3. Calcium Hydroxyapatite (CaHA)

สารแคลเซียม ไฮดรอกซีอะพาไทท์ (Calcium Hydroxyapatite หรือ CaHA) เป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร และจะสามารถสลายไปได้แค่บางส่วน ทำให้ยังมีสารตกค้างอยู่ใต้ชั้นผิว ซึ่งสารชนิดนี้เป็นแร่ธาตุที่พบได้ในกระดูกและฟันของมนุษย์ มีความคงตัวสูง สามารถนำมาใช้ในการเติมเต็มได้หลายบริเวณ เช่น ใบหน้า หลังมือ หน้าอก และสะโพก ซึ่งจะนิยมใช้ได้ในต่างประเทศ แต่ในประเทศไทยยังไม่ได้รับอนุญาตให้นำมาใช้ เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายหากปล่อยทิ้งไว้นานแล้วสลายไม่หมดก็ต้องขูดออกเท่านั้น โดยผลลัพธ์สารเติมเต็มในฟิลเลอร์ชนิดนี้จะอยู่ได้นานประมาณ 18 เดือน

4. Polyalkylimide

สารโพลีอัลคิลลิไมด์ (Polyalkylimide) เป็นพลาสติกสังเคราะห์ ที่อยู่ในกลุ่มสารประกอบฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร ที่มีความคงตัวสูง สามารถสลายไปได้เอง แต่จะสลายไม่หมดยังคงเหลือสารตกค้างในชั้นผิว ซึ่งมักจะนำมาใช้สำหรับเติมร่องลึกบริวเณร่องจมูก หรือรอยแผลเป็น และมีใช้ในต่างประเทศ แต่ยังไม่ผ่าน อย.ไทย ทั้งนี้หากฉีดไปนาน ๆ อาจจะพบปัญหาฟิลเลอร์เป็นก้อน เกิดอาการแพ้ และอักเสบตามมาได้ รวมทั้งไม่สามารถฉีดสลายได้ จะต้องทำการขูดออกเท่านั้น 

5. Polymethyl-methacrylate microspheres (PMMA)

สารเติมเต็มโพลีเมธิลเมธาไครเลต หรือ PMMA เป็นสารประกอบฟิลเลอร์ที่จัดอยู่ในกลุ่มแบบถาวร ซึ่งเป็นพลาสติกสังเคราะห์ ที่เป็นสารเติมเต็มจำพวกซิลิโคน หรือพาราฟิน และเป็นสารสังเคราะห์เช่นเดียวกับ PLLA ที่มีความเข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อในร่างกาย แต่จะไม่สามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติ ทำให้ตกค้างในชั้นผิว หากฉีดไปนาน ๆ จะทำให้ฟิลเลอร์ไหล ส่งผลให้มีใบหน้าที่ผิดรูปได้ และจะไม่สามารถทำการฉีดสลายฟิลเลอร์ออกได้ ต้องทำการขูดออก หรือผ่าตัดเนื้อเยื่อออกเท่านั้น ทั้งนี้ในทางการแพทย์จะใช้สาร PMMA นี้สำหรับการผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เลนส์แก้วตาเทียม (Intraocular Lens : IOL) และซีเมนต์กระดูก (Bone Cement)

คุณสมบัติของฟิลเลอร์ มีลักษณะอย่างไร ?

ฟิลเลอร์จะมีคุณสมบัติต่าง ๆ ที่มีลักษณะแตกต่างกัน ซึ่งแต่ละคุณสมบัตินั้นก็จะเหมาะสำหรับการนำไปฉีดในแต่ละบริเวณและสภาพผิวที่แตกต่างกันด้วย โดยมีดังนี้

1. ความแข็ง (Elasticity)

เนื้อฟิลเลอร์มีความทนต่อแรงกดในแนวตั้งอย่างมาก โดยฟิลเลอร์ที่มีค่าความแข็งสูง จะช่วยในการปรับโครงหน้าให้สูงขึ้นได้ ซึ่งจะเหมาะสำหรับการฉีดเพื่อยกโครงหน้าในชั้นกระดูก หรือยกผิวชั้นลึก เช่น การฉีดบริเวณคาง จมูก หรือฉีดเพื่อดึงหน้า เป็นต้น

2. ความยืดหยุ่น (Plasticity Cohesiveness)

เนื้อฟิลเลอร์ที่มีค่าความยืดหยุ่นสูง จะมีคุณสมบัติที่ทนต่อแรงบิดในแนวนอนและทนต่อการขยับ จึงเหมาะสำหรับฉีดในบริเวณที่ผิวหนังมีการขยับบ่อย ๆ เช่น มุมปาก ร่องแก้ม ข้างแก้ม หรือแก้มตอบ เป็นต้น

3. ความกระจายตัว (Tissue Integration)

คุณสมบัตินี้จะช่วยในการสมานกับผิวที่อยู่รอบ ๆ ฟิลเลอร์ ทำให้ผิวมีความเรียบเนียนมากที่สุด ฉีดแล้วไม่เป็นก้อน เหมาะสำหรับฉีดให้กับผู้ที่มีผิวแห้งและผิวบาง

4. ค่าความอุ้มน้ำ (Water holding)

ฟิลเลอร์ที่มีค่าความอุ้มน้ำสูง จะมีคุณสมบัติที่จะทำให้ฟูมาก หลังฉีดหากดื่มน้ำมากฟิลเลอร์ก็จะยิ่งฟูมากเช่นกัน แต่หากดื่มน้ำน้อยฟิลเลอร์ก็อาจจะแฟบลง ซึ่งจะเหมาะสำหรับส่วนที่ต้องการการฟูและอิ่มน้ำมาก เช่น ร่องแก้ม ขมับ แต่จะไม่เหมาะกับการฉีดบริเวณใต้ตา เนื่องจากจะทำให้ตาดูบวม หรือเห็นความบวมได้ชัดเจนมากเกินไป

5. จำนวนการเชื่อมพันธะ (Crosslink)

ลักษณะของฟิลเลอร์ที่มีจำนวนพันธะเยอะ จะมีคุณสมบัติที่อุ้มน้ำได้น้อยลง ฟูน้อยลง มีค่ากระจายตัวปานกลาง ทนต่อแรงบิดแนวนอนได้ดี อยู่ได้นานขึ้น และสลายได้ช้าลง เป็นเนื้อเจลข้น ๆ ไม่เป็นเม็ด (non-particle) เหมาะสำหรับการฉีดบริเวณที่มีการขยับบ่อย ๆ แต่หากมีปริมาณ crosslink มากเกินไปจะทำให้สลายยากและเกิดการแพ้ง่าย หรือหากฉีดในปริมาณมาก ๆ ก็จะมีโอกาสในการเกิดพังผืดหรือจับกันเป็นก้อนได้ มักพบในฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานและฟิลเลอร์ปลอม

6. ขนาดเม็ดของฟิลเลอร์ (Particle size)

 สำหรับฟิลเลอร์ที่มีขนาดเม็ดฟิลเลอร์ใหญ่จะสามารถอยู่ได้นานขึ้น มีค่าความแข็งตัวสูง ค่าการกระจายตัวต่ำ และจะไม่ทนต่อแรงบิดในแนวนอน เหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณที่ไม่มีการขยับบ่อย ๆ เนื่องจากหากฉีดในบริเวณที่มีการขยับบ่อยจะทำให้เม็ดฟิลเลอร์แตกตัวเป็นเม็ดเล็ก ๆ ส่งผลให้สลายไปรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับการยกพยุงผิว หรือยกหน้าในผิวชั้นลึกได้ดีที่สุด

ยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ผ่าน อย. มีรุ่นอะไรบ้าง ?

ยี่ห้อและรุ่นต่าง ๆ ของฟิลเลอร์ ที่ได้รับมาตรฐาน อย. ในประเทศไทย และเป็นฟิลเลอร์ที่มีสารเติมเต็มเฉพาะชนิดที่เป็นไฮยาลูโรนิคแอซิด (HA) เท่านั้น หากเป็นสารเติมเต็มชนิดอื่นจะไม่ผ่านมาตรฐานทั้งหมด โดยรุ่นที่ผ่าน ได้แก่

1. ฟิลเลอร์ Juvederm

ฟิลเลอร์จากประเทศอเมริกา ที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศไทย (THFDA) สหรัฐอเมริกา (USFDA) และ EDQM นำเข้าโดยบริษัท Allergan Thailand ซึ่งจุดเด่นของยี่ห้อนี้ คือ มีเทคโนโลยี Hylacross และ Vycross ที่จะทำให้เนื้อฟิลเลอร์สามารถอุ้มน้ำได้ดี ทำให้มีความยืดหยุ่นสูงทนต่อการขยับของผิวหน้า ยกกระชับได้ดี หลังฉีดผิวมีความเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน และมีอัตราการบวมน้ำน้อย เหมาะสำหรับฉีดบริเวณ แก้ม คาง ปาก รวมทั้งมีส่วนผสมของยาชา ซึ่งจะช่วยลดอาการเจ็บปวดในบริเวณที่ฉีดได้ โดยรุ่นของฟิลเลอร์ Juvederm ที่ผ่านอย. ในไทย คือ

  • Juvederm Voluma รุ่นนี้จะมีค่าความเข้มข้นของไฮยารูลอนิกแอซิดสูง มีลักษณะเนื้อแข็ง ฟูปานกลาง มีความยืดหยุ่น คงตัวได้ดี เหมาะสำหรับการฉีดขมับ คาง ร่องแก้ม ใต้ตา ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 18-24 เดือน
  • Juvederm Volift เป็นรุ่นที่มีลักษณะเนื้อนิ่มปานกลาง ละเอียด ยืดหยุ่นสูง ไม่ไหลง่าย ไม่เป็นก้อน เหมาะสำหรับฉีดร่องมุมปาก ริมฝีปาก รอยขมวดคิ้ว ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน
  • Juvederm Volbella รุ่นที่มีลักษณะเนื้อนิ่มและมีความละเอียดที่สุด ทำให้ผิวเรียบเนียน อิ่มฟู ไม่เป็นก้อน เหมาะสำหรับฉีดหน้าผาก ปาก ใต้ตา และบริเวณที่มีริ้วรอยตื้น ๆ ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน
  • Juvederm Volite เป็นรุ่นที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวมากกว่าการปรับรูปหน้า มีลักษณะเนื้อละเอียด บางเบา ช่วยอุ้มน้ำ เหมาะสำหรับฉีดบริเวณริ้วรอยตื้น ๆ ริมฝีปาก ใต้ตา หรือผิวชั้นตื้น ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 8-12 เดือน
  • Juvederm Ultra XC มีลักษณะเนื้อนิ่ม ผลลัพธ์หลังฉีดจะเนียนไปกับผิว เหมาะสำหรับฉีดบริเวณที่มีริ้วรอยร่องลึก ขมับ ร่องแก้ม แก้มตอบ คาง จมูก ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน
  • Juvederm Ultra Plus XC เนื้อมีลักษณะแน่นคงตัวสูง และเนื้อค่อนข้างฟู อุ้มน้ำได้ดี เหมาะสำหรับฉีดเพื่อเพิ่มความความอิ่มฟูบริเวณขมับ ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก คาง ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน

2. ฟิลเลอร์ Restylane

เป็นยี่ห้อฟิลเลอร์จากประเทศสวีเดน ที่ได้รับความนิยมและการยอมรับจากแพทย์ทั่วโลก และผ่านการรับรองและขึ้นทะเบียนจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) เกาหลีใต้ อย. ไทย (TH FDA) และการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์จากสหภาพยุโรป (EDQM) นำเข้าโดยบริษัท Galderma Thailand จุดเด่นของฟิลเลอร์ยี่ห้อนี้ คือ การใช้เทคโนโลยีการผลิต NASHA Technology ที่มีจะเน้นในเรื่องการยกกระชับ เนื้อเจลมีความคงตัว และขึ้นรูปได้ดี และเทคโนโลยี OBT (Optimal Balance Technology) ที่โดดเด่นในเรื่องความยืดหยุ่น เนื้อเจลอ่อนนุ่ม สามารถปรับรูปทรงได้หลากหลาย โดยมีรุ่นของฟิลเลอร์ Restylane ที่ผ่านอย. ไทย และสามารถแบ่งรุ่นตามเทคโนโลยี ดังนี้

NASHA technology

  • Restylane Vital Light เป็นรุ่นที่มีส่วนผสมของยาชา ขณะฉีดจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เนื้อเจลมีลักษณะนิ่ม ละเอียด เป็นโมเลกุลที่เล็กที่สุด เหมาะสำหรับเติมผิวชั้นตื้น  ริมฝีปาก ร่องใต้ตา รอยคล้ำใต้ตา ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน
  • Restylane Vital มีส่วนผสมของยาชา มีลักษณะเนื้อนิ่ม ละเอียด เกลี่ยง่าย เหมาะสำหรับการปรับผิวให้ชุ่มชื้น เรียบเนียน นิยมฉีดหน้าผาก ใต้ตา หลุมสิว และริ้วรอยตื้น ๆ ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 8-12 เดือน
  • Restylane Classic เป็นรุ่นที่ผสมของยาชา ใช้เจลอนาคขนาดใหญ่ เนื้อมีลักษณะแข็งปานกลาง เหมาะสำหรับฉีดร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ริมฝีปาก ร่องพับคาง ร่องขมวดคิ้ว ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน
  • Restylane Lyft มีส่วนผสมของยาชา เนื้อเจลมีลักษณะแข็งคงตัวสูง คงรูปได้ดี และมีแรงยกกระชับมากที่สุด เหมาะสำหรับฉีดบริเวณขมับ ใต้ตา แก้ม โหนกแก้ม ร่องแก้ม คาง ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน

OBT Technology

  • Restylane Refyne เป็นรุ่นที่มีส่วนผสมของยาชา ลักษณะเนื้อเจลมีความยืดหยุ่น กลืนกับผิวได้ดี เหมาะสำหรับฉีดรอบดวงตา ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก หรือบริเวณที่มีริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 8-12 เดือน
  • Restylane Volyme เป็นอีกรุ่นที่มีส่วนผสมของยาชา เนื้อเจลนิ่มปานกลาง มีความยืดหยุ่นสูง ช่วยให้ใบหน้าอิ่มฟูข้น เหมาะสำหรับฉีดบริเวณที่ยุบ โหล หรือตอบลง เช่น แก้มตอบ ร่องแก้ม ปาก มุมปาก ขมับ ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 18 เดือน
  • Restylane Defyne มีส่วนผสมของยาชาเช่นกัน ซึ่งเป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง แต่มีความยืดหยุ่นสูง อุ้มน้ำได้ดี เหมาะสำหรับฉีดบริเวณริ้วรอยร่องลึก หรือกระดูกที่ยุบตัวในผิวชั้นลึกบริเวณ midface เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก โหนกแก้ม คาง ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 18 เดือน
  • Restylane Kysse เป็นรุ่นฟิลเลอร์สำหรับฉีดริมฝีปากโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีส่วนผสมของยาชาเช่นกัน เนื้อเจลมีความละเอียด มีความคงตัว ไม่เป็นก้อน กลืนกับเนื้อริมฝีปากได้ดี ช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้ริมฝีปากดูเป็นธรรมชาติ รวมถึงปรับสีปากให้ดูสุขภาพดีและอมชมพู ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน

3. ฟิลเลอร์ Neuramis

ฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลีใต้ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานและความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยาของประเทศไทย (THFDA) สหรัฐอเมริกา (USDFDA) และ EDQM กรมควบคุมคุณภาพของยุโรป นำเข้าโดยบริษัท Medyceles ประเทศไทย ซึ่งเป็นฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน และมีราคาที่ย่อมเยาเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น โดยยี่ห้อนี้เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีที่ที่เรียกว่า SHAPE technology ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้กระบวนการทำงานแบบ Cross-linking ถึง 2 ระดับ ที่จะทำให้มีความปลอดภัย คงทน และสามารถอยู่ได้นานขึ้น และในประเทศไทยมีฟิลเลอร์ Neuramis ที่ผ่านอย.ไทยด้วยกัน 3 รุ่น คือ

  • Neuramis Deep เป็นรุ่นที่ไม่มีส่วนผสมของยาชา โดยเนื้อฟิลเลอร์จะมีความหนืดปานกลาง คงตัวได้ดี อิ่มฟู และขึ้นรูปได้ง่าย เหมาะสำหรับเติมเต็มใบหน้าในชั้นลึก และสามารถฉีดได้หลายจุดบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก แก้มตอบ ใต้ตา ขมับ หน้าผาก คาง ริมฝีปาก ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-8 เดือน
  • Neuramis Deep Lidocaine เป็นรุ่นที่มีเนื้อฟิลเลอร์คล้ายกับรุ่น Deep แต่จะมีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) 0.3% ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดระหว่างฉีดได้ เหมาะสำหรับการฉีดเพื่อเติมเต็มส่วนต่าง ๆ บนใบหน้าในชั้นลึก ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-8 เดือน
  • Neuramis Volume Lidocaine เป็นรุ่นที่มียาชาผสม เนื้อเจลมีความหนืดและมีความแข็งที่สุดใน 3 รุ่น แต่กลืนกับผิวได้ดี มีความยืนหยุ่น คงตัว ขึ้นทรงได้สวย เหมาะสำหรับเติมเต็มผิวที่มีปัญหาริ้วรอยระดับปานกลางถึงมาก และยังช่วยยกกระชับปรับรูปหน้าได้เป็นอย่างดี บริเวณที่นิยมฉีด เช่น บริเวณกรอบหน้า แก้มตอบ ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก คาง หน้าผาก ริมฝีปาก ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานประมาณ 12-24 เดือน

 

นอกจากนี้ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Neuramis ยังมีอีก 2 รุ่นด้วยกัน คือ Neuramis Light Lidocaine และ Neuramis Lidocaine แต่ทั้งสองรุ่นนี้ยังไม่ผ่าน อย. ไทย

4. ฟิลเลอร์ Belotero

เป็นฟิลเลอร์จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ที่ได้รับรองมาตรฐานและผ่านการขึ้นทะเบียนทั้งจาก อย.อเมริกา (US FDA) อย.ไทย (TH FDA) และจากยุโรป (CE Mark) นำเข้าโดยบริษัท เมิร์ซ เฮลธ์แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด และเป็นยี่ห้อฟิลเลอร์ที่มีการผลิตด้วยเทคโนโลยีพิเศษ CPM (Cohesive Polydensified Matrix) ที่มีการจดสิทธิบัตรเฉพาะของแบรนด์นี้เท่านั้น เนื้อมีความเรียบเนียน กลืนกับผิวได้ดี และมีคุณสมบัติเด่นที่มีสารอุ้มน้ำได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังเป็นยี่ห้อที่กล่องมีสีสันสดใสจำง่าย จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า Colorful filler โดยสามารถแยกรุ่นฟิลเลอร์ Belotero ตามสีและตามความเหมาะสมที่ใช้แก้ปัญหาในแต่ละจุด ได้แก่

  • Belotero Soft (กล่องสีเหลือง) เนื้อฟิลเลอร์นิ่ม ละเอียด โมเลกุลเล็ก สามารถเก็บรายละเอียดได้ดี เหมาะสำหรับฉีดบริเวณที่มีริ้วรอยร่องตื้น ๆ หรือผิวชั้นนอก เช่น หน้าผาก ใต้ตา หางตา ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน
  • Belotero Balance (กล่องสีส้ม) เนื้อฟิลเลอร์นิ่มปานกลาง มีความยืดหยุ่น ละเอียด เหมาะสำหรับฉีดบริเวณที่ผิวมีร่องลึกในระดับปานกลาง เช่น ร่องระหว่างคิ้ว ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ริมฝีปาก ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน
  • Belotero Intense (กล่องสีชมพู) เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็งที่มีความหนาแน่น มีความยืดหยุ่นสูง สามารถขึ้นรูปได้ดี เหมาะสำหรับฉีดบริเวณที่มีร่องลึกมากๆ จากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิวหนัง เช่น แก้มตอบ ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก คาง และเติมริมฝีปากให้อวบอิ่มได้ ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 18 เดือน
  • Belotero Volume (กล่องสีม่วง) เป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง โมเลกุลหนาแน่น มีความยืดหยุ่นและคงตัวสูง เหมาะสำหรับฉีดเพื่อเพิ่มมิติและวอลลุ่มให้กับใบหน้า บริเวณขมับ ใต้ตา แก้มตอบ แก้มส้ม คาง ใต้ตา และฉีดเพื่อยกกระชับหน้า ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 18 เดือน
  • Belotero Revive (กล่องสีเขียว) เป็นฟิลเลอร์งานผิว ที่มีส่วนผสมของสารเติมเต็ม HA และ Glycerol ซึ่งจะช่วยในเรื่องของความชุ่มชื่นได้ดี และเป็นเนื้อเจลที่มีความเรียบเนียน กลืนกับผิวหน้าได้ดี เหมาะสำหรับฉีดบริเวณผิวที่มีริ้วรอย ผิวแห้งกร้าน ผิวขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 9 เดือน

5. ฟิลเลอร์ e.p.t.q.

e.p.t.q. filler หรือ epitique : อี.พี.ที.คิว เป็นฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลี ที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศไทย (THFDA) สหรัฐอเมริกา (USFDA) และ EDQM นำเข้าโดยบริษัท Aestema Thailand ซึ่งทำการผลิตภายใต้การควบคุมให้เป็นไปตามมาตรฐาน EP (European Pharmacopoeia) ที่จะทำให้มั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัยสูง โดยเนื้อของฟิลเลอร์จะมีความหนืด และยืดหยุ่นได้ดี ส่งผลให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติมาก ทั้งนี้รุ่นฟิลเลอร์ e.p.t.q.ที่ผ่าน อย. ไทย และนิยมใช้ในปัจจุบันมีด้วยกัน 3 รุ่น และทุกรุ่นจะมียาชาผสม 0.3% (Lidocaine) ทำให้บรรเทาความเจ็บขณะฉีด และสามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสมของสภาพผิว ได้แก่

  • e.p.t.q. S100 เป็นรุ่นฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีโมเลกุลเบา เนื้อละเอียด ยืดหยุ่นได้ดี สามารถฉีดเติมเต็มผิวชั้นตื้น หรือริ้วรอยต่าง ๆ ได้อย่างธรรมชาติและเรียบเนียน โดยเหมาะจะฉีดบริเวณใต้ตา ขมับ หน้าผาก และปาก ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6 เดือน
  • e.p.t.q. S300 เป็นรุ่นที่มีเนื้อฟิลเลอร์ไม่แข็งหรือนิ่มมากเกินไป อยู่ในระดับปานกลาง สามารถปั้นขึ้นทรงได้สวย คงตัวได้นาน และมีความยืดหยุ่นทำให้ยึดเกาะกับผิวได้แน่น เหมาะสำหรับฉีดบริเวณหน้าผาก ร่องแก้ม แก้มตอบ แก้ตาลึกโหล ขอบปาก ร่องน้ำหมาก ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 8 เดือน
  • e.p.t.q. S500 เป็นรุ่นที่มีเนื้อฟิลเลอร์แข็งและหนานแน่นที่สุด ซึ่งจะมีความคงตัว และยืดหยุ่นได้ดี เหมาะสำหรับฉีดบริเวณที่มีปัญหาหนัก ๆ หรือฉีดเติมเต็มชั้นกระดูก และไขมันชั้นลึกที่ยุบตัวลงไปจากการมีอายุมากขึ้น บริเวณที่นิยมฉีด เช่น แนวกระดูกกราม คาง ขมับ ใต้ตาลึก ร่องน้ำหมาก และร่องแก้มลึก ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน

6. ฟิลเลอร์ Yvoire

เป็นฟิลเลอร์น้องใหม่ที่มีคุณภาพดีจากประเทศเกาหลี ที่มีมาตรฐานระดับยุโรปผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศไทย (THFDA) สหรัฐอเมริกา (USFDA) และ เกาหลี (DMF) นำเข้าโดยบริษัท LG Chem และผ่านการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรม HICE Cross-link ลิขสิทธิ์เฉพาะของบริษัท แอลจี เคม ที่จะช่วยให้โมเลกุลของฟิลเลอร์เชื่อมโยงติดกันได้แน่น ผิวสัมผัสมีความเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน มีความปลอดภัยสูง และยึดเกาะอยู่บนผิวได้นานมากขึ้น โดยรุ่นต่างๆ ของฟิลเลอร์ Yvoire ที่ผ่านอย. ไทย และใช้แก้ปัญหาในแต่ละจุดที่แตกต่างกันตามความต้องการมีด้วยกัน 3 รุ่น ดังนี้

  • Yvoire Classic Plus เป็นฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลเล็กและเนื้อละเอียดที่สุด ฉีดแล้วไม่ไหล ไม่ย้อย มีความเรียบเนียน เหมาะสำหรับการเติมเต็มผิวชั้นบน (Upper Dermal Layers) เช่น ร่องลึกใต้ตา ริ้วรอยรอบดวงตา รอยตีนกา รอยย่นหน้าผาก รอยย่นระหว่างคิ้ว รอบปาก ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-9 เดือน
  • Yvoire Volume Plus เป็นฟิลเลอร์รุ่นที่มีโมเลกุลขนาดกลาง ซึ่งจะสามารถขึ้นรูปได้ดี มีความเรียบเนียนไปกับผิว และช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้กับชั้นผิว เหมาะสำหรับการฉีดเติมเต็มผิวชั้นกลาง (Deep Dermal layers) บริเวณกลางใบหน้า หน้าผาก ขมับ แก้ม ร่องแก้ม ริมฝีปาก ร่องน้ำหมาก หรือบริเวณที่มีริ้วรอยระดับปานกลางถึงมาก ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 9-12 เดือน
  • Yvoire Contour เป็นรุ่นฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ที่สุด มีความคงตัวสูง ยึดเกาะแน่น เซ็ตตัว และคงรูปได้ดี ไม่ทำให้ไหลย้อย ไม่ฟู เน้นการยกกระชับใบหน้า เหมาะสำหรับการฉีดเติมเต็มผิวชั้นลึก (Deep Dermal layers) ฉีดบริเวณโหนกแก้ม ร่องแก้ม คาง และกรอบหน้าให้ดูชัดมากขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน

การฉีดฟิลเลอร์ แก้ปัญหาอะไรบ้าง ?

ฟิลเลอร์เป็นหนึ่งในหัตถการที่ช่วยปรับรูปหน้าได้โดยไม่ต้องทำการผ่าตัด โดยมีคุณสมบัติในการเติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้น ซึ่งจะทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ เด็กกว่าอายุจริง ฟิลเลอร์สามารถแก้ปัญหาส่วนต่าง ๆ บนใบหน้าได้ดังนี้

  • แก้ปัญหาใต้ตาลึก ใต้ตาคล้ำ เติมเต็มร่องใต้ตาให้ดูสดใส
  • แก้ปัญหาแก้มตอบทำให้ใบหน้าดูโทรม การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยให้ใบหน้าดูอิ่มเต็มมากขึ้น
  • แก้ปัญหาริมฝีปากบาง เติมฟิลเลอร์ให้ริมฝีปากอวบอิ่ม
  • แก้ปัญหาคางสั้น เติมฟิลเลอร์คางให้รูปหน้ามีมิติ
  • แก้ปัญหาร่องแก้มลึก ซึ่งจะทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าอายุจริง

ฟิลเลอร์เหมาะกับใครบ้าง

  • คนที่มีปัญหาใต้ตาลึก
  • คนที่มีปัญหาแก้มตอบ
  • คนที่มีริ้วรอยร่องลึก เช่นร่องแก้ม
  • คนที่ต้องการปรับรูปหน้าเช่น ปาก คาง จมูก โดยไม่อยากผ่าตัด

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์

  • ช่วยแก้ปัญหาร่องรอยต่าง ๆ บนใบหน้าให้ดูจางลง
  • ทำให้หน้าดูอ่อนเยาว์ เด็กกว่าอายุจริง
  • ช่วยปรับรูปหน้าได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
  • ใช้เวลาไม่นาน
  • ราคาไม่แพง
  • เห็นผลหลังทำได้อย่างรวดเร็ว

ข้อควรระวังของการฉีดฟิลเลอร์

ในการเลือกฉีดฟิลเลอร์ มีข้อควรระวังที่ต้องปฏิบัติตาม เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียง ดังนี้

  • เลือกฉีดฟิลเลอร์กับคลินิกที่เชื่อถือได้
  • ผู้ที่เเพ้สาร ไฮยาลูรอนิก แอซิด ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์เด็ดขาด
  • ผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือคุณแม่ให้นมบุตร ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์
  • ผู้ที่มีโรคเริม หรือ งูสวัด ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์เพราะจะทำให้อาการกำเริบ
  • ผู้ที่ต้องรับประทานยาบางชนิดเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ว่าฉีดฟิลเลอร์ได้หรือไม่

อันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม

ฟิลเลอร์ปลอมจะไม่สามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติ จึงทำให้ทิ้งสารตกค้างอยู่ในชั้นผิวของเรา จนเกิดการสะสมกลายเป็นก้อน ซึ่งในช่วงแรก ๆ ที่ฉีดไปอาจจะยังไม่พบอาการที่เป็นอันตราย แต่หากฉีดไปนาน ๆ อันตรายที่เกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอมก็จะค่อย ๆ แสดงอาการออกมา โดยมีดังนี้

  • สารตกค้างอยู่ในชั้นผิว
  • ผิวหนังเกิดการติดเสบ อักเสบ และบวมแดง
  • อาจทำให้เกิดเนื้อตาย หรือเกิดพังผืดได้
  • ไม่สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ออกได้ ต้องขูดออก หรือทำการผ่าตัดออกเท่านั้น
  • ฟิลเลอร์รวมตัวกันเป็นก้อน และผิวหนังบริเวณที่ฉีดอาจผิดรูปได้

เลือกฉีดฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี

ปัจจุบันมีฟิลเลอร์หลายยี่ห้อในท้องตลาด ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เหมาะสมที่จะใช้ฉีดแต่ละจุดบนใบหน้าที่ต่างกันไป เช่นจุดที่ต้องการความคงตัว จะเหมาะกับการใช้ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง จุดที่มีการขยับบ่อย ๆ เหมาะกับการใช้ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมทั้งหมดมาให้ชมกัน

  • ฟิลเลอร์ Juvederm จากอเมริกา มีจุดเด่นที่มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับการนำมาฉีดใต้ตา ร่องแก้ม ปาก คาง ฟิลเลอร์ยี่ห้อนี้ยังแบ่งออกไปอีกหลายรุ่นด้วยกัน แต่ละรุ่นฉีดแล้วอยู่ได้นานตั้งแต่ 12-24 ปี
  • ฟิลเลอร์ Restylane จากสวีเดน มีจุดเด่นช่วยเรื่องความคงตัว มีส่วนผสมของยาชา เหมาะกับฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์จมูก เพราะมีความคงตัวสูง คงรูปได้ดี ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 เดอน
  • ฟิลเลอร์ Belotero จากสวิตเซอร์แลนด์ มีจุดเด่นที่ความยืดหยุ่นของฟิลเลอร์ ไม่ไหลเป็นก้อน เหมาะกับการแก้ปัญหาร่องลึก เช่นฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบ ร่องแก้ม คงอยู่ได้ตั้งแต่ 12-18 ปี
  • ฟิลเลอร์ Neuramis จากเกาหลี เป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เพราะด้วยราคาที่ย่อมเยา มีประสิทธิภาพการคงตัวสูง เหมาะกับการฉีดร่องแก้ม แก้มตอบ คงตัวอยู่ได้นาน 8-10 เดือน

หัตถการของการฉีดฟิลเลอร์ ราคาเท่าไหร่

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์คาง ฉีดฟิลเลอร์ปาก ราคาเท่าไหร่ เป็นคำถามที่ใครหลายคนอยากรู้ ต้องบอกว่าการฉีดฟิลเลอร์นั้นราคาจะแตกต่างกันไปตามแต่ละยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีด และปริมาณของฟิลเลอร์ที่ใช้ ซึ่งจะอยู่ราว ๆ 1-2 หมื่นบาทเท่านั้น

รวมจุดฉีดฟิลเลอร์ยอดนิยม

ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

ร่องแก้มเกิดจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการยุบตัวกระดูกบริเวณใต้ตา การยุบตัวของกระดูกบริเวณร่องแก้มโดยตรง รวมปถึงการยิ้มบ่อย ๆ หรือการที่ชั้นผิวหนังถูกทำร้ายจากแสงแดด ก็ทำให้เกิดร่องแก้มได้เหมือนกัน

การมีร่องแก้มจะทำให้ใบหน้าดูมีอายุ คนที่ร่องแก้มลึก ร่องแก้มชัด จะทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าอายุจริงจนหลายคนขาดความมั่นใจ การฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มบริเวณร่องแก้มจึงจะช่วยให้ร่องลึกดูตื้นขึ้น ริ้วรอยดูจางลง ทำให้หน้าดูเด็กลง และรูปหน้ากระชับมากขึ้น

ฟิลเลอร์ขมับ

ขมับคือบริเวณที่อยู่หลังหางคิ้วเหนือกระดูกแก้ม บางคนมีโครงสร้างกะโหลกที่ทำให้ส่วนของขมับยุบลงไป ส่งผลให้ใบหน้าดูแข็ง ใบหน้าตอบ และยังส่งผลให้กระดูกโหนกแก้มชัดขึ้นอีกด้วย คนที่มีปัญหาขมับตอบ ขมับลึก ขมับเป็นแอ่ง สามารถฉีดฟิลเลอร์เพื่อช่วยเติมเต็มเนื้อขมับ ทำให้ใบหน้าดูอ่อนหวานและสดใสมากขึ้น

นอกจากนี้การฉีดฟิลเลอร์ขมับยังส่งผลต่อส่วนอื่น ๆ บนใบหน้าเช่น ช่วยทำให้ริ้วรอยบริเวณหางตาดูตื้นขึ้น ช่วยทำให้โหนกแก้มดูยุบลง ทำให้หน้าหวานละมุน ปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนยิ่งขึ้น

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ใต้ตา

เมื่ออายุมากขึ้นกระดูกใต้ตาจะยุบตัวลงจนเกิดร่องใต้ตา การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หรือฉีดใต้ตาดํา คงเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการ ฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มร่องได้ตา ทำให้ใต้ตาดูสดใส ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยคล้ำใต้ตา ริ้วรอยย่นใต้ตา หรือคนที่มีถุงใต้ตา ซึ่งปัญหาเหล่านั้นจะส่งผลให้ใบหน้าดูทรุดโทรม ไม่สดใส ดูแก่กว่าอายุจริง

ฟิลเลอร์คาง

ผู้ที่มีปัญหาคางสั้น คางบุ๋ม การฉีดฟิลเลอร์คางถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้การผ่าตัดเสริมคาง ด้วยการปรับโครงสร้างใบหน้าให้รูปหน้าดูเรียวเป็นวีเชฟมากขึ้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการคางที่เรียวแต่ไม่อยากผ่าตัด การฉีดฟิลเลอร์กับหมอที่มีความเชี่ยวชาญจะทำให้ได้คางที่เป็นธรรมชาติไม่แพ้การผ่าตัดเสริมคางเลย ฟิลเลอร์คางสามารถอยู่ได้นาน 12-18 เดือน ตามยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ และหากฉีดไปแล้วอยากทำการผ่าตัดเสริมคางก็สามารถทำได้ โดยการรอให้ฟิลเลอร์สลายไปก่อน หรือจะทำการฉีดสลายฟิลเลอร์ก็ได้เช่นกัน

ฟิลเลอร์หน้าผาก

หน้าผากเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญต่อใบหน้า การที่หน้าผากแบนจะทำให้ใบหน้าดูไม่มีมิติ การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจึงจะช่วยแก้ปัญหาสำหรับคนที่มีปัญหาผากแบน หน้าผากยุบ หรือคนที่หน้าผากมีร่องลึก เมื่อเติมฟิลเลอร์ไปแล้วจะช่วยเสริมให้ใบหน้าดูสมสัดส่วน ช่วยให้ปัญหาริ้วรอยบนหน้าผากจางลง

นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่มีความเชื่อทางด้านโหงวเฮ้ง ซึ่งเชื่อกันว่าหน้าผากเป็นส่วนสำคัญในการรับทรัพย์ทางการทำธุรกิจ คนที่มีหน้าผากนูนเด่นสวย จะมีคนคอยอุปถัมภ์ ค้าขายราบรื่นทำอะไรก็ไม่สะดุด

ฟิลเลอร์ปาก

สำหรับคนที่ริมฝีปากบาง อยากให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มแบบสายฝอ การฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยคุณได้ การเติมฟิลเลอร์ปากถือเป็นที่นิยมอันดับต้น ๆ ของฟิลเลอร์ ด้วยเพราะใช้เวลาไม่นาน ราคาไม่แพง และสามารถปั้นทรงที่เราชอบได้ นอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาปากแห้ง ปากขาดคอลลาเจน การฉีด ฟิลเลอร์จะช่วยให้ปากดูอวบอิ่ม ทรงสวย และดูมีความชุ่มชื้นมากขึ้น

หลังฉีดฟิลเลอร์ปากจะมีอาการบวมเป็นเรื่องปกติ ซึ่งจะค่อย ๆ ยุบลงใน 4-5 วัน และรูปปากที่ฉีดจะเริ่มเข้าที่เป็นทรงสวยได้ใน 1-2 สัปดาห์

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์

  • หลังฉีดแล้วอาจมีการบวมหรือช้ำเป็นปกติ ซึ่งจะหายไปใน 2-3 วัน
  • ห้ามแตะ กด หรือนวดในจุดที่ฉีดฟิลเลอร์
  • งดออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวบริเวณจุดที่ฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์เคลื่อน
  • งดการทำกิจกรรม เช่น การอบไอน้ำ เลเซอร์ผิว ตากแดด
  • งดรับประทานอาหารหน้าเตาร้อน ๆ
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ เพื่อลดอาการอักเสบ

ฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ไหม?

การฉีดสลายฟิลเลอร์ (Dissolving Filler) สามารถทำได้ โดยการสลายฟิลเลอร์เป็นการฉีดสารไฮยาลูโรนิคเดส (Hyaluronidase) ซึ่งเป็นสารสลายฟิลเลอร์ที่เป็นเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการย่อยสลายสารเติมเต็มฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูโรนิค แอซิค (HA) ซึ่งเป็นฟิลเลอร์ชนิดที่ได้มาตรฐานและ อย.ไทย เท่านั้น โดยเอนไซม์ตัวนี้เมื่อฉีดเข้าไปในบริเวณใต้ผิวหนังในส่วนที่ต้องการสลายฟิลเลอร์แล้ว จะเข้าไปทำหน้าที่ลดการกักเก็บน้ำ ไขมัน และทำลายการยึดเกาะของเนื้อฟิลเลอร์ รวมทั้งช่วยปรับสมดุลของผิวให้กลับมาเรียบเสมอกันเหมือนเดิม หรือใกล้เคียงแบบเดิมมากที่สุด แต่หากสารฟิลเลอร์ที่ฉีดไปก่อนหน้านี้ไม่ใช่ชนิดไฮยาลูโรนิค  หรือเป็นฟิลเลอร์ปลอมจะไม่สามารถฉีดสลายออกไปได้

หลังฉีดสลายฟิลเลอร์แล้ว จะหายไปหมดไหม ?

เมื่อทำการฉีดสลายฟิลเลอร์ในบริเวณที่ต้องการแก้ไขแล้ว สารเติมเต็มฟิลเลอร์จะสลายออกไปได้หมด 100% แต่ในส่วนของระยะเวลาในการสลายหมดนั้น จะขึ้นอยู่กับปริมาณฟิลเลอร์และยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เคยฉีดมาด้วย โดยทั่วไปผลลัพธ์หลังฉีดสลายฟิลเลอร์จะยุบตัวไปหมดเต็มที่ประมาณ 1 สัปดาห์ 

ปรึกษาหมอฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
สแกน QR Code หรือแอดไลน์ Official @aacthailand (มีแอดด้านหน้า)
ปรึกษาหมอฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
สแกน QR Code หรือแอดไลน์ Official @aacthailand (มีแอดด้านหน้า)

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์

การฉีดฟิลเลอร์แท้ ปลอดภัย 100% แน่นอนค่ะ เพราะฟิลเลอร์แท้จะเป็นสาร HA (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็น สารธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในร่างกาย และร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เองได้ ทั้งนี้ความปลอดภัยจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์และเทคนิคในการฉีดของแพทย์ด้วยค่ะ

โดยปกติแล้วฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปจะสามารถอยู่ได้ 12-18 เดือน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีด รวมไปถึงการดูแลตัวเองหลังฉีดไปแล้วก็จะมีผลทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วหรืออยู่ได้นานขึ้นด้วย ดังนั้นควรที่จะทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดด้วยเช่นกันค่ะ

การฉีดฟิลเลอร์ถือว่าเป็นหัตถการที่ได้ผลลัพธ์รวดเร็วมาก โดยจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของรูปหน้า หรือส่วนอื่นๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีดเลย แต่อาจจะมีอาการบวมเล็กน้อยและจะค่อยๆ หายไปเองภายใน 3-5 วัน ซึ่งจะเห็นผลลัพธ์เข้าที่ชัดเจนประมาณ 1- 2 สัปดาห์ค่ะ

หลังจากฉีดฟิลเลอร์มาแล้ว ให้งดแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง และให้ปิดพลาสเตอร์ป้องกันการติดเชื้อบริเวณรอยเข็มไว้อย่างน้อย 24 ชั่วโมงเช่นกัน หรือจนกว่ารอยรูเข็มจะปิดสนิท

การฉีดฟิลเลอร์จะขึ้นกับตำแหน่งที่ฉีด ความลึกของริ้วรอย และรูปหน้าของแต่ละบุคคลคนค่ะ โดยปริมาณทั่วไปจะมีดังนี้

  • ฟิลเลอร์ ใต้ตา 1-3 cc
  • ฟิลเลอร์ ร่องแก้ม 1-3 cc
  • ฟิลเลอร์ คาง 1-2 cc
  • ฟิลเลอร์ หน้าผาก 3-5 cc
  • ฟิลเลอร์ ขมับ ข้างละ 2-4 cc
  • ฟิลเลอร์ แก้มตอบ ข้างละ 1-2 cc
  • ฟิลเลอร์ ปาก 1-2 cc

หากฉีดฟิลเลอร์แท้ ที่มีมาตรฐาน มีอย. สามารถสลายหมดเองได้ 100% ไม่ตกค้างภายในร่างกาย และสามารถฉีดเพิ่มเติมได้เรื่อยๆ ค่ะ

หลังจากฉีดฟิลเลอร์แล้วอาจมีผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อย เช่น รอยแดงที่เกิดจากเข็ม หรือผื่นบริเวณจุดที่ฉีด แต่สามารถหายได้เองใน 1-3 วัน และมีอาการบวมหลังฉีด ซึ่งเป็นเรื่องปกติ หากมีอาการปวด คนไข้สามารถทานยาแก้ปวดได้ตามอาการ และหากมีอาการบวมแดงเกินกว่า 5-7 วัน ให้รีบพบแพทย์ทันที

เลเซอร์ขน หน้าใส ลดผมร่วง