เมื่อพูดถึงการ ปลูกผมถาวร หลาย ๆ คนอาจจะติดภาพการผ่าตัด นำเอาหนังศีรษะบางส่วนที่มีผมออกมา แล้วจึงนำผมไปปลูกตรง หนังศีรษะบริเวณที่ไม่มีผม และหลังจากการปลูกผมจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีการปลูกผมถาวร ได้ถูกพัฒนาขึ้น มีการใช้เครื่องมือ และอุปกรณ์ที่ทันสมัยมากขึ้น ทำให้การปลูกผมถาวรเป็นการ ย้ายรากผมไปปลูก ไม่จำเป็นต้องตัดเอาไปทั้งหนังศีรษะ ซึ่งจะมีด้วยกันหลายเทคนิค ทั้งปลูกผมเทคนิค FUE, ปลูกผมแบบ DHI ซึ่งจะมีความเหมือน หรือแตกต่างกัน อย่างไรบ้างนั้น ต้องติดตามรายละเอียดในบทความนี้
การปลูกผมถาวรครั้งแรกของโลก เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1930 ซึ่งเป็นการพัฒนาของแพทย์ชาวญี่ปุ่นชื่อ Dr. Shoji Okuda ที่เริ่มทดลองใช้การปลูกผมแบบถาวร แต่ยังไม่เป็นที่นิยม ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1950 การปลูกผมถาวรเริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นใน สหรัฐอเมริกา และได้มีการพัฒนาเทคนิคการปลูกผมถาวร มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ ในการปลูกผมถาวรในปัจจุบัน จะเป็นการย้ายเซลล์รากผมจากบริเวณด้านหลัง หรือท้ายทอย (Donor Area) ไปยังบริเวณที่พบปัญหาผมร่วง ผมบาง โดยแต่ละเทคนิคก็จะเหมาะสำหรับแก้ไขปัญหาเส้นผมที่แตกต่างกัน ซึ่งเทคนิคการปลูกผมถาวรจะแบ่งอกเป็น 2 เทคนิคหลัก ดังนี้
การปลูกผมถาวร โดยการตัดเอาหนังศีรษะบริเวณด้านหลัง ของศีรษะ จากนั้นทำการตัดแบ่งแถบหนังศีรษะ ให้แยกออกเป็นกราฟต์ผมเล็ก ๆ แล้วจึงนำเอากราฟต์ผมที่ได้ไปปลูก ตรงบริเวณที่มีปัญหา การปลูกผมด้วยเทคนิค FUT สามารถย้ายกราฟต์ผมได้เป็นจำนวนมากในครั้งเดียว แต่จะทำให้เกิดแผลเป็น รอยยาว ที่ด้านหลังศีรษะ และต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนาน
เป็นการปลูกผมถาวรที่ถูกคิดค้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 โดยใช้เครื่องมือเจาะ เอาเซลล์รากผมออกมาทีละกอ จากบริเวณด้านหลังศีรษะ ซึ่งกอผมแต่ละกอจะมีรากผมประมาณ 1-4 เส้น จากนั้นจึงนำเอากอผม หรือกราฟต์ผมเหล่านี้ไปปลูกยังบริเวณที่ต้องการ การปลูกผมด้วยเทคนิค FUE จะไม่มีแผลเป็นที่เห็นได้ชัด เหมาะสำหรับการปลูกผมถาวรที่ขนาดพื้นที่เล็ก ๆ ไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนาน แต่อาจจะใช้เวลาในการปลูกผมนานกว่าเทคนิค FUT
การปลูกผมด้วยเทคนิค DHI หรือ (Direct Hair Implantation) เป็นการปลูกผมถาวรโดยการย้ายรากผม ด้วยการใช้เครื่องมือ Implanter หรือตัวเข็มเจาะ นำเอารากผมที่บริเวณท้ายทอย ออกมา กราฟต์ผมที่จะนำไปปลูก จะถูกโหลดใส่ Implanter ไว้ ทำให้สามารถเจาะรูหนังศีรษะ และปลูกผมไปพร้อม ๆ กันได้ จึงช่วยลดเวลาในการปลูกผมลงได้ อีกทั้งตัว Implanter ยังช่วยทำให้การกำหนดทิศทางของเส้นผมนั้นแม่นยำขึ้น ได้กราฟผมที่แน่น แนวผมดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
การปลูกผมแบบ DHI กับ FUE เป็นการปลูกผมถาวรโดยการย้ายรากผม เหมือนกัน แต่ในขั้นตอนการปลูกผม จะมีการใช้เครื่องมือที่แตกต่างกัน การปลูกผม FUE จะใช้เครื่องที่มีหัวเจาะขนาดเล็ก รอบ ๆ กอผม แล้วจึงใช้ Forceps คีบเอากราฟต์ผมออก จากนั้นก็ใช้เครื่องเจาะรู ตรงบริเวณที่ต้องการปลูก แล้วใช้ Forceps ในการปลูกผม ส่วนการปลูกผม DHI เครื่องเจาะจะมีหัวขนาดเล็กกว่า (หัวเจาะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 0.7-0.9 มิลลิเมตร) ทำให้เกิดแผลปลูกผมที่เล็กกว่า หนังศีรษะบอบช้ำน้อยกว่า และในขั้นตอนการปลูกก็สามารถปลูกผมลงบนหนังศีรษะได้โดยตรง ไม่ต้องเตรียมพื้นที่ ไม่ต้องเจาะหนังศีรษะ สำหรับปลูกไว้ล่วงหน้า การปลูกผม DHI เป็นการพัฒนาเทคนิคการปลูกผม ที่ต่อยอดมาจากเทคนิค FUE นั่นเอง
การปลูกผมถาวรแต่ละเทคนิค จะมีการใช้อุปกรณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งในแต่ละเทคนิคเองก็ไม่สามารถใช้ปลูกผม ได้กับทุกเคส ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องเลือกเทคนิคการปลูกผม ที่เหมาะสมกับปัญหาผมของตนเอง ถึงจะเป็นการเลือก เทคนิคการปลูกผมที่ดีที่สุด และที่สำคัญจะต้องเลือกปลูกผมกับแพทย์เฉพาะทาง มีประสบการณ์ด้านการปลูกผม เพราะถึงแม้ว่าจะเลือกเทคนิคที่ทันสมัย มีเครื่องมือ มีเทคโนโลยีที่ดี แต่เลือกปลูกกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ ไม่มีความถนัดด้านการปลูกผมถาวร ผลลัพธ์ที่ได้ก็ออกมาไม่ดี ไม่เป็นที่น่าพอใจ
การปลูกผม ไม่ควรดูแค่เทคนิค หรือดูแค่เพียงอุปกรณ์การปลูกผมเท่านั้น แต่จะต้องพิจารณาจากหลาย ๆ ปัจจัย ตั้งแต่ขั้นตอนการให้คำปรึกษา การออกแบบแนวผม ขั้นตอนการเจาะกราฟต์ผมจากบริเวณด้านหลังศีรษะ การเตรียมกราฟต์ผมสำหรับปลูก เพราะการปลูกผมด้วยการย้ายรากผม จะต้องอาศัยเทคนิคและความชำนาญของแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงที่กราฟต์ผมจะไม่ติด และหลีกเลี่ยงการได้แนวผมที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ ที่จะส่งผลต่อความมั่นใจในระยะยาว หากอ่านบทความนี้แแล้วสนใจ ต้องการปลูกผม DHI กับอาจารย์พอล สามารถลงชื่อเพื่อขอรับคำปรึกษา พร้อมด้วยโปรโมชั่นพิเศษจากทางคลินิกได้ที่ช่องทางไลน์ @aacthailand